จีนศึกษา (วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พ.ย.๖๐) ขอนำเสนอข้อมูลวิเคราะห์เกี่ยวกับการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตามคำเชิญของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ระหว่างวันที่ ๘ – ๑๐ พ.ย.๖๐ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. ในมุมมองของกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งแสดงท่าทีที่ให้ความสำคัญต่อการเยือนจีนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตั้งความหวังว่า
๑.๑ การเยือนครั้งนี้จะผลักดันความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันระหว่างจีน-สหรัฐฯ นำประโยชน์ที่แท้จริงให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ และสร้างคุณูปการมากขึ้นต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก
๑.๒ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐจะมีความคืบหน้าและเปิดกว้างมากขึ้น โดยจะช่วยให้ทั้งจีนและสหรัฐสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้มากขึ้น
๑.๓ จีนให้ความสำคัญในระดับสูงต่อการพัฒนาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดยจีนเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่พัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนนั้นสอดคล้องกับประโยชน์ขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งสองประเทศ และเป็นความปรารถนาทั่วไปของประชาคมโลก
๑.๔ จีนยินดีร่วมมือกับสหรัฐฯ ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งมั่นในการกระชับความร่วมมือ และควบคุมข้อขัดแย้งกัน ซึ่งทั้งนี้จะดำเนินการบนพื้นฐานที่เคารพกัน และอำนวยประโยชน์แก่กัน เพื่อผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
๒. ในมุมมองของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
๒.๑ แนวทางของประธานาธิบดีทรัมป์ถูกมองว่าเป็น “ยุทธศาสตร์ที่ไม่มียุทธศาสตร์” โดยเฉพาะการเชื่อมโยงของความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน กับประเด็นร้อนเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งในการเยือนจีนครั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ จะพยายามกดดันจีนให้เพิ่มการลงโทษเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม การกดดันอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลตามที่สหรัฐฯ หวัง ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจีนใช้มาตรการลงโทษเกาหลีเหนือหลายด้านเพื่อให้เกาหลีเหนือหยุดการละเมิดมติสหประชาชาติเรื่องการห้ามทดลองขีปนาวุธและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และมาตรการที่ทำได้ในขณะนี้มีอยู่ไม่มาก ดังนั้น การเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงต้องมีเรื่องอื่นๆ ที่จะช่วยสานความร่วมมือของทั้งสองประเทศ นอกจากเรื่องเกาหลีเหนือ
๒.๒ สือ อินหง (Shi Yinhong) จากมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (Renmin) ที่กรุงปักกิ่ง กล่าวว่า จีนอาจยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ บ้าง อย่างจำกัดในประเด็นการค้า ในระดับที่ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินของจีน โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยกล่าวถึงการที่สหรัฐฯ เสียดุลการค้าให้กับจีนว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย และจีนตอบโต้โดยทันที่ว่า จีนไม่ได้มีเจตนาในการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง น่าจะต้องการสร้างบรรยากาศการเจรจาที่ดีกับสหรัฐฯ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าตนเองสามารถดำเนินการเจรจาได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยจีนต้องการจูงใจให้สหรัฐฯ ลดระดับความร้อนแรงและความถี่ในการขู่เกาหลีเหนือ เพราะวิธีดังกล่าวจะกลับทำให้เกาหลีเหนือยิ่งทวีศักยภาพด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
บทสรุป แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เชื่อว่า จีนกำลังเปลี่ยนยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ ด้วยการใช้นโยบายที่โอนอ่อนกับสหรัฐฯ แต่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือ ดังจะเห็นได้จากในบทบรรณาธิการหลายชิ้นในสื่อของทางการจีน ที่ส่งคำเตือนไปยังเกาหลีเหนือให้หยุดพฤติกรรมที่เสี่ยงให้เกิดสงคราม ในขณะที่เมื่อต้นปีนี้ จีนพยายามส่งผู้แทนด้านนิวเคลียร์ไปเจรจากับเกาหลีเหนือ แต่กลับถูกเกาหลีเหนือปฏิเสธ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นตั้งแต่ยุคของผู้นำคิม อิล ซุง และผู้นำคิม จอง นัม กลับเหินห่างไปในยุคของผู้นำรุ่นที่สาม จากการที่ คิม จอง อึน ไม่เคยเดินทางเยือนจีนเลยนับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ และที่ผ่านมา จีนคือพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมักเปรียบความสัมพันธ์ของสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ว่าเป็นเสมือน “ลิ้นกับฟัน” ดังนั้น การพบปะหารือกับผู้นำจีนของผู้นำสหรัฐฯ ที่ได้มาเยือนจีนในครั้งนี้ จึงต้องมีเรื่องอื่นๆ เพื่อช่วยสานความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจหรือประเด็นอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากเรื่องเกาหลีเหนือ ทั้งนี้เพราะโดยพื้นฐานแล้ว จีนไม่ต้องการให้อิทธิพลของสหรัฐฯ เข้ามาประชิดเขตแดนและคุกคามต่อผลประโยชน์ของจีน
ประมวลโดย : พันเอก ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
( ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://thai.china.com/news/china/1040/20171031/1114110.html รวมทั้งเว็บไซต์ https://midkhao.com/56778/ และเว็บไซต์ https://www.voathai.com/a/china-north-korea/3828571.html ตลอดจนเว็บไซต์ https://www.voathai.com/a/china-trump-visit-ro/4098200.html )
|